สรุปและอภิปรายผลการดำเนินการ
เพคตินที่สกัดจากใบยางพารามีปริมาณ 2.445 กรัม
คิดเป็น 4.075 ± 0.37% ซึ่งมีปริมาณ เพคตินที่น้อยกว่าฝรั่ง 15.55-19.44% (องอาจ, 2533) และเปลือกส้ม 18.48% (ชวณิฏฐ์ และคณะ, 2548)
ส่วนเพคตินที่สกัดจากผักกาดขาวมีปริมาณเพคติน 3.46 ± 0.002% (กนกพร
และเจนจิรา, 2552) ซึ่งมีปริมาณน้อยกว่าเพคตินที่สกัดจากใบยางพารา
เมื่อนำไปเปรียบเทียบคุณสมบัติทางเคมีกับเพคตินทางการค้าและเปรียบเทียบกับเพคตินจากส้มเกรด
150 พบว่า ปริมาณเถ้า ซึ่งเป็นปริมาณที่สารอนินทรีย์เหลืออยู่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
โดยปริมาณเถ้าของเพคตินที่สกัดจากใบยางพาราเท่ากับ 98.151±0.01%ซึ่งเพคตินมาตรฐานได้กำหนดค่ามาตรฐานไว้ที่ 2.0% และ
Industrial grade pectin มีปริมาณเถ้า 3.59% ซึ่งไม่ได้ตามมาตรฐานตามที่ JECFA กำหนดทั้งนี้เนื่องจากปริมาณเถ้าแสดงถึงสารประกอบอนินทรีย์ที่เหลืออยู่ (inorganic residue)
หลังจากที่เผาให้สารประกอบอินทรีย์
(organic matter) สลายไปหมดแล้ว (ลักษณา และนิธิยา,2533) ใบยางพารามีแมกนีเซียม (Mg) มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการนำก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) มาใช้และเป็นส่วนประกอบของคลอโรฟิลล์
สำหรับการสังเคราะห์ด้วยแสงมีผลต่อการเจริญเติบโตและการเพิ่มผลผลิตของยางพาราและทำหน้าที่เคลื่อนย้ายธาตุอาหารในใบยางนอกจากนี้ยังมีแคลเซียม (Ca) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ที่มีบทบาทต่อการแบ่งเซลล์ช่วยให้ผนังเซลล์แข็งแรง
(http://www.siamsouth.com)
ปริมาณกรดกาแลคทูโรนิกเป็นค่าแสดงความบริสุทธิ์ของเพคติน
ซึ่งปริมาณกรดกาแลคทูโรนิกของเพคตินที่สกัดจากใบยางพารามีค่าเท่ากับ 43.824±10.05% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
โดย JECFA ได้กำหนดค่าเพคตินมาตรฐาน ซึ่งค่าเพคตินมาตรฐานต้องมากกว่า 65% และ
Industrial grade pectin มีปริมาณกรดกาแลคทูโรนิก 69.89% ส่วนเพคตินจากส้มเกรด 150 มีปริมาณกรดกาแลคทูโรนิก 68.03±8.50%
ทั้งนี้เนื่องมาจากเพคตินที่สกัดจากใบยางพารามีหมู่คาร์บอกซิลในโมเลกุลของกรดกาแลคทูโรนิกที่บางส่วนถูกเอสเทอร์ริไฟด์ด้วยหมู่เมทธิลได้เป็นเมทธอกซิลเอสเทอร์
(นิธิยา,2545) น้อยกว่าค่าเพคตินมาตรฐาน และ Industrial grade pectin รวมทั้งน้อยกว่าเพคตินจากส้มเกรด
150 ด้วย
ปริมาณน้ำหนักสมมูลของเพคตินที่สกัดจากใบยางพารามีค่าเท่ากับ
268.817±15.73
ซึ่งมีค่าต่ำกว่าปริมาณเพคตินจากส้มเกรด 150 โดยเพคตินจากส้มเกรด
150 มีปริมาณน้ำหนักสมมูล เท่ากับ 847.91±11.11ทั้งนี้เนื่องมาจากใบยางพารามีหมู่เมทธอกซิลน้อย
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเพคตินจากส้มเกรด 150
พบว่ามีปริมาณน้ำหนักสมมูลสูง เนื่องจากมีหมู่เมทธอกซิลมากกว่าหมู่คาร์บอกซิล
ปริมาณเมทธอกซิลของเพคตินเป็นค่าแสดงถึงระดับเอสเทอร์ในเพคติน
โดยเพคตินที่สกัดจากส้มเกรด 150 มีปริมาณเมทธอกซิล 8.92±0.02% ส่วน JECFA
ได้กำหนดค่าเพคตินมาตรฐานซึ่งต้องมากกว่า 2.5% สำหรับเพคตินที่สกัดจากใบยางพารามีปริมาณเมทธอกซิล
เท่ากับ 3.627±1.31% ซึ่งมีค่าน้อยกว่าตามเกณฑ์มาตรฐานข้างต้นทั้งนี้เนื่องจากเพคตินจากใบยางพารา
มีระดับเอสเทอร์น้อยกว่า50% (นิธิยา, 2545)
ปริมาณ degree of esterification (%DE) ซึ่งเป็นตัวกำหนดประเภทของเพคติน จากการวิเคราะห์พบว่ามีปริมาณ degree
of esterification เท่ากับ 94.12±1.37% จึงเรียกเพคตินประเภทนี้ว่า “โปรโตเพคติน (protopectin)” โดยโปรโตเพคตินเป็นสารตั้งต้นของเพคติน มีปริมาณ degree of
esterification มากกว่าหรือเท่ากับ 90% (Julio and Andrew,
2007) ซึ่งสามารถนำไปเปลี่ยนเป็นกรดเพคตินิกได้โดยการไปทำปฏิกิริยากับกรดจึงจะสามารถละลายน้ำได้เนื่องจากไฮโดรเจนจากกรดจะเข้าไปแทนที่แคลเซียมหรือแมกนีเซียมทำให้เกิดเป็นกรดเพคตินิกที่สามารถละลายน้ำได้หรือใช้เอนไซม์ทำให้กลายเป็นกรดเพคตินิก
เมื่อกรดเพคตินิกมีค่าเมทธอกซิลสูง (High Methoxyl Pectin; HMP) สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเติมอาหารจำพวกแยม เยลลี่ ผลไม้กวน เนื่องจากมีความคงตัว
ความหนืดสูง และ เมื่อกรดเพคตินิกมีค่าเมทธอกซิลต่ำ(High Methoxyl
Pectin; HMP) สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการใส่อาหารเพื่อให้อาหารมีลักษณะเนื้อผิวที่ดีขึ้น
ใช้เติมลงในโยเกิร์ต นมรสช็อคโกแลต (องอาจ, 2553) และเมื่อทำให้เพคตินที่สกัดจากใบยางพาราที่เป็นโปรโตเพคตินเป็นกรดเพคตินิกแล้ว
สามารถที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้
ข้อมูลทางเศรษฐกิจ
ในทางอุตสาหกรรมเมื่อนำใบยางพาราไปสกัดเป็นเพคติน
ในครั้งแรกจะมีต้นทุนสูง (51,000 บาท/กิโลกรัม) เนื่องจากจะต้องใช้ปริมาณแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมาก
แต่เมื่อทำหลายๆครั้งสามารถนำแอลกอฮอล์ไปกลั่นธรรมดาเพื่อนำไปใช้ทำเพคตินในครั้งต่อๆไป
จึงสามารถลดต้นทุนในการผลิตได้ประมาณ 1 ใน 6 จึงเหลือต้นทุนแค่เพียง 8,500 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับเพคตินนำเข้าที่มีราคาสูงโดยราคาเพคตินที่ขายทางการค้าขึ้นกับแหล่งวัตถุดิบที่ผลิตและเกรดของเพคติน
ได้แก่ ระดับ lab & pharmaceutical grade ราคาตั้งแต่ 6,650
8,840 9,600 และ 10,161บาท/กิโลกรัม (ข้อมูลบริษัท Flukaประเทศเยอรมัน)แต่อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตเพคตินที่สกัดจากใบยางพารามีมูลค่าสูง
จึงควรที่จะนำวัสดุที่เหลือใช้จากธรรมชาติ เช่น
เปลือกผลไม้เหลือทิ้งมาทำการสกัดเพคตินแทน
เพราะในเปลือกผลไม้จะมีเพคตินสูงกว่าใบของผลไม้
อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการผลิตอีกด้วย
ตารางแสดงการเปรียบเทียบการเปรียบเทียบราคาเพคตินตามท้องตลาดและราคาเพคตินที่นำเข้าจากต่างประเทศ
รายการ
|
เพคตินที่สกัดจากใบยางพารา
|
เพคตินที่นำเข้าจากต่างประเทศ
|
ค่าแรงตัดใบยางพารา
|
2,000 บาท
|
-
|
ค่าสารเคมี
|
45,000 บาท
|
-
|
ค่าขนส่ง
|
1,500 บาท
|
-
|
ค่าไฟฟ้า
|
2,500 บาท
|
-
|
ราคา/กิโลกรัม
|
51,000 บาท
นำแอลกอฮอล์ไปกลั่น 8,500 บาท
|
10,161 บาท
|
Bet365.bet - Online Casino & Sport Betting | Kadang Pintar
ตอบลบWe have a whole range of games. Bet365 is one of the largest online gaming providers and we will not disappoint 온카지노 사이트 you with sports betting.