วิธีดำเนินการ
วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ สารเคมี และวัตถุดิบ
วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ
รายการอุปกรณ์และเครื่องมือ
บริษัทผู้ผลิต
|
1. เครื่องวัดค่าสีjuki Hunter lab
2. เครื่องชั่ง PGW
Series ADAM Equipment ไทยจุลทรรศน์ จำกัด
3. ตู้อบไฟฟ้า Memmert
4. ตู้อบสูญญากาศ Memmert
5. เตาเผา Carbolite
6. บิวเรต Witeg
7. ตู้ดูดควัน Flaxlab
8. ตะแกรงขนาด 60 mesh -
9. เครื่องปั่น Mitsubishi
10. โถดูดความชื้น Glaswerk
11. บีกเกอร์ 1000 ml PYREX®
12. จานเพาะเลี้ยงเชื้อ Anumbra
13. เทอร์โมมิเตอร์ SATO
14. กระบอกตวงสาร Witeg
15. กรวยแก้ว -
16. ช้อนตักสาร -
17. หลอดหยดสาร -
19. แท่งแก้วคนสาร -
20. ขวดน้ำกลั่น -
21. โกร่งบดสาร -
รายการอุปกรณ์และเครื่องมือ บริษัทผู้ผลิต
|
22. pH Mobile Metrohm
23. parafilm Pechiney
plastic packaging
24. volumetric flask Witeg
สารเคมี และวัตถุดิบ
รายการสารเคมีและวัตถุดิบ
บริษัทผู้ผลิต
|
1.Sodium hexametaphosphate Ajax
Finechem Pty Ltd.
2. Hydrochloric (HCl) Intellect
3. Sodium Hydroxide(NaOH) Intellect
4. Sodium Chloride Gammaco
5. Phenolphthalein (C20H14O4) Intellect
6. Phenol Red (C19H14O5S) Gammaco
7. 95% Ethanol (C2H5OH) ซีนิธ ไซเอนซ์ จำกัด
8.
น้ำกลั่น Gammaco
9. ใบยางพารา -
วิธีดำเนินงาน
การเตรียมวัตถุดิบ
นำใบยางโดยเลือกเฉพาะใบที่มีสีเขียวสด มาหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปบดให้มีขนาดเล็กลง
นำไปอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส
แล้วเก็บใส่ในถุงพลาสติก หรือภาชนะที่ปิดมิดชิด เก็บในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิไม่เกิน
4 องศาเซลเซียส จนกว่าจะนำมาใช้ในการทดลองขั้นต่อไป
การสกัดเพคตินจากใบยางพารา(ดัดแปลงจาก Agarwal and Pruthit, 1968; Mohammad et al., 2003)
นำใบยางพาราผสมน้ำในอัตราส่วน
1:25 แล้วเติมโซเดียมเฮกซะเมตาฟอสเฟต (sodium hexameta
phosphate; SHMP) ที่ระดับ 6% และ8% โดยน้ำหนักคนให้เข้ากันจากนั้นปรับค่าความเป็นกรด-ด่างให้เป็น2.0
และ3.0 โดยใช้สารละลายกรดไฮโดรคลอริกความเข้มข้น
1 นอร์มอล (1N HCl) ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา
30 นาทีนำไปต้มในอ่างน้ำที่มีการควบคุมอุณหภูมิที่ 80,100 และ120 องศาเซลเซียสเป็นเวลา60 และ100นาทีเมื่อครบกำหนดเวลานำภาชนะออกจากอ่างน้ำตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องให้สารละลายอุ่นลงเล็กน้อยกรองด้วยผ้าขาวบางจะได้สารละลายเพคตินตั้งทิ้งไว้ให้เย็นจากนั้นตกตะกอนเพคตินด้วย
95% เอทานอลพร้อมกับกวนสารละลายแรงๆไปพร้อมกันตั้งทิ้งไว้ประมาณ
24 ชั่งโมงกรองตะกอนเพคตินด้วยผ้าขาวบางนำไปตากให้แห้งในตู้ดูดควันที่อุณหภูมิห้องแล้วอบแห้งด้วยตู้อบสุญญากาศที่อุณหภูมิ
35 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 24 ชั่วโมงบดเป็นผงร่อนผ่านตะแกรงขนาด
60 mesh
การวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพ
การหาค่าสี ( โดยเครื่อง juki )
ขั้นตอนที่ 1การ calibrate ด้วยแผ่นสีมาตรฐาน
1.1
เลื่อนแถบสีไปที่ “measurement” แล้ว enter
1.2 นำแผ่นสีขาวมาตรฐานมาวางในที่สำหรับวางตัวอย่างต้องระวังไม่ให้แสงจาก
ภายนอกมารบกวนมิฉะนั้นเครื่องจะไม่ทำการวัดค่า
ภายนอกมารบกวนมิฉะนั้นเครื่องจะไม่ทำการวัดค่า
(calibration 1 = ตัวอย่างของแข็งและของเหลว
calibration 2 = ตัวอย่างผง)
1.3 กด F1 เพื่อทำการวัดค่า
1.4 กด shift พร้อมกับ F2 เพื่อไปที่หน้าจอการ
calibrate ซึ่งสามารถ calibrate
ค่าสีมาตรฐานได้ถึง 6 ค่า
ค่าสีมาตรฐานได้ถึง 6 ค่า
1.5 ตรวจสอบค่าตัวเลขว่าถูกต้องหรือไม่โดยดูจากค่า
xyz ที่จอคอมพิวเตอร์
ให้ตรงกับค่าที่กำหนดไว้
ให้ตรงกับค่าที่กำหนดไว้
ขั้นตอนที่ 2 การวัดค่าสีตัวอย่าง
2.1 บรรจุตัวอย่างในภาชนะที่เหมาะสมแล้วนำไปวางที่ตำแหน่งของการวัดค่าสี
2.2 กด F1 เพื่อทำการวัดค่าสี
2.3 กดenter เพื่อพิมพ์ข้อมูลที่อ่านได้หากไม่ต้องการพิมพ์ข้อมูลให้กด
shift
ร่วมกับ F7 ก่อนทำการวัดค่า
2.4 กด F10 ครั้งที่ 1 เป็นการอ่านค่าเฉลี่ยของการวัดค่าสี
2.5 กด F10 ครั้งที่ 2 เป็นการเคลียร์หน้าจอ
2.6 กด F10 ครั้งที่ 3 เป็นการออกจากโปรแกรมวัดค่าสี
การวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมี
1.การวิเคราะห์ปริมาณเถ้า(ดัดแปลงจากลักษณาและนิธิยา, 2533)
1) ชั่งผงเพคตินให้ได้น้ำหนัก 1.5 กรัม
ใส่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบซึ่งทราบน้ำหนัก
แล้ว นำไปเผาซึ่งตั้งอุณหภูมิเตาเผาไว้ที่ 550 องศาเซลเซียส
แล้ว นำไปเผาซึ่งตั้งอุณหภูมิเตาเผาไว้ที่ 550 องศาเซลเซียส
2) ตั้งทิ้งไว้ในเตาเผาเป็นเวลา
1 คืน
3) คำนวณหาปริมาณเถ้า
2.การหาปริมาณความชื้น(ดัดแปลงจากปรียา และอนุสรณ์,2549)
1)
ชั่งผงเพคตินให้ได้น้ำหนักที่แน่นอนอย่างละเอียด ประมาณ 1-2 กรัมใส่ลงใน
ภาชนะหาความชื้นซึ่งทราบน้ำหนักแล้ว
ภาชนะหาความชื้นซึ่งทราบน้ำหนักแล้ว
2) นำไปอบในตู้อบไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 105 องศาเซลเซียส นาน 4-5 ชั่วโมง
3)
นำออกจากตู้อบใส่ในโถดูดความชื้น หลังจากนั้นชั่งหาน้ำหนัก
4)
คำนวณหาปริมาณความชื้น
ปริมาณความชื้น(ร้อยละโดยน้ำหนัก)
= ( ผลต่างน้ำหนักก่อนและหลังอบ / น้ำหนักตัวอย่าง) X 100
3. การวิเคราะห์หาค่ากรดกาแลกทูโรนิก(ดัดแปลงจาก Committee on Food Chemicals
Codex, National Academy of Sciences, 1996)
1) ชั่งเพคตินประมาณ 5 กรัม
เติมสารละลายกรดไฮโดรคลอริก – แอลกอฮอล์
(กรดเกลือ
เข้มข้น 5 มิลลิลิตร และแอลกอฮอล์เข้มข้น60% จำนวน100มิลลิลิตร) กวน 10 นาที
2) กรองและล้างกรดไฮโดรคลอริกด้วยแอลกอฮอล์
ครั้งละ 15 มิลลิลิตรรวม 6 ครั้ง
3) ล้างด้วยสารละลายแอลกอฮอล์ 60% จนตกตะกอนไม่มีคลอไรด์ และล้างด้วย แอลกอฮอล์อีก 20 มิลลิลิตร
4) อบที่อุณหภูมิ 105
องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมงครึ่ง ชั่งน้ำหนักแห้ง
5) นำเพคตินที่เตรียมได้จากข้อ 4 มา 1ใน
10 ของน้ำหนักแห้ง เติมแอลกอฮอล์ 2มิลลิลิตร และเติมน้ำเดือดที่เย็นแล้ว 100 มิลลิลิตรเขย่าจนได้สารละลายที่เป็นเนื้อเดียวกัน
ไตเตรด้วยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ 0.1 นอร์มอลโดยใช้ฟีนอลทาลีนเป็นอินดิเคเตอร์ จนได้ปริมาตรของด่างที่ใช้ เท่ากับ V1
ไตเตรด้วยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ 0.1 นอร์มอลโดยใช้ฟีนอลทาลีนเป็นอินดิเคเตอร์ จนได้ปริมาตรของด่างที่ใช้ เท่ากับ V1
6) เติมสารละลายกรดไฮโดรคลอริก
0.5 นอร์มอล 20 มิลลิลิตร เขย่าจนไม่มีสีชมพู เติม
สารละลายฟีนอลทาลีนไตเตรทด้วยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์
0.1นอร์มอล จนได้สี
ชมพูอ่อน
จนปริมาตรของด่างที่ใช้เท่ากับ V2
7) คำนวณหามิลลิกรัมของกรดกาแลกทูโรนิก เท่ากับ19.41(V1 + V2)
7) คำนวณหามิลลิกรัมของกรดกาแลกทูโรนิก เท่ากับ19.41(V1 + V2)
4.การวิเคราะห์หาค่า Degree of Esterification(ดัดแปลงจาก,
Jittra andet al.,2004)
1) ชั่งน้ำหนักผงเพคตินหนัก 0.5 กรัม
เติมเอทานอลลงไป 2 มิลลิลิตร
2) ละลายด้วยน้ำที่ปราศจากคาร์บอนไดออกไซด์100
มิลลิลิตร
3) คนให้เข้ากันแล้วหยดฟีนอล์ฟทาลีนลงไป
5 หยด นำไปไตเตรทด้วยสารลายโซเดียม
ไฮดรอกไซต์เข้มข้น 0.5
นอร์มอล ปริมาตรของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซต์เป็น V1
4) เติมสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซต์เข้มข้น
0.5 นอร์มอล ปริมาตร 10 มิลลิลิตร
แล้วเขย่าแรงๆทิ้งไว้ 15 นาที
แล้วเขย่าแรงๆทิ้งไว้ 15 นาที
5)
เติมสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 0.5 นอร์มอล ปริมาตร10 มิลลิลิตร แล้วเขย่าให้สี ชมพูจางหาย
6) เติมฟีนอล์ฟทาลีน 5 หยด นำไปไตเตรทด้วยสารลายโซเดียมไฮดรอกไซต์ เข้มข้น 0.5
นอร์มอล จนสีชมพู
เริ่มปรากฏ แล้วบันทึกผลปริมาตรของสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซต์
เป็นV2
7) คำนวณหาค่า Degree
of Esterification (%DE) จากสูตร
%DE
= ( NaOH volvume 1 / ( NaOH volvume 1+2) ) X 100
5.
การวิเคราะห์หา equivalent weight(ดัดแปลงจาก
Rangana, 1997)
1) นำเพคตินที่ทราบน้ำหนักที่แน่นอน
(5-10 กรัม) ใส่ลงใน flask ขนาด 250 มิลลลิตร
2) ละลายผงเพคตินด้วยน้ำกลั่นที่ปราศจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว
100 มิลลิลิตร
3) เติมโซเดียมคลอไรด์ลงไป 1 กรัม
ใช้ฟีนอลเรดเป็นอินดิเคเตอร์ นำไปไตเตรทด้วย
สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซต์ 0.1 นอร์มอล จนกระทั่งอินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี (pH 7.5)
4) คำนวณหา
equivalent weight
equivalent
weight = 1000 / SV
S = น้ำหนักแห้งของเพคตินที่ใช้(กรัม)
N
= จำนวนนอร์มอลิตีของด่างที่ใช้ในการไตเตรท
V = ปริมาตรของด่างที่ใช้ในการไตเตรท
(มิลลิลิตร)
6. การวิเคราะห์หา methoxyl content (Meo)(ดัดแปลงจาก Rangara, 1997)
1) นำสารละลายที่ผ่านการหา
equivalent weight นำมาเติมสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์
0.25 นอร์มอล จำนวน
25 มิลลิลิตร
2)
ปิดปากบีกเกอร์แล้วตั้งทิ้งไว้ 30 นาที เติมสารละลายกรดไฮโดรคลอริก 0.25 นอร์มอล เพิ่มอีก 25 มิลลิลิตร
3)
นำมาไตเตรทต่อด้วยสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์มาตรฐาน 0.1 นอร์มอล
จนอินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี
จนอินดิเคเตอร์เปลี่ยนสี
4) คำนวณหาร้อยละmethoxyl content
methoxyl
content % = ( NV X 3.1) / S
S = น้ำหนักแห้งของเพคตินที่ใช้(กรัม)
N
= จำนวนนอร์มอลิตีของด่างที่ใช้ในการไตเตรท
V = ปริมาตรของด่างที่ใช้ในการไตเตรท
(มิลลิลิตร)
test
Calculate Methoxyl Content
Simple Test
Base Nomality
Valum Solution
7. การวิเคราะห์หาร้อยละ yield(ดัดแปลงจาก Pornpen
and et al., 2008)
%pectin = ( น้ำหนักตัวอย่างเพคติน / น้ำหนักใบยางที่สกัด ) X 100
3.2.5การตรวจสอบคุณสมบัติเพคตินที่สกัดได้เปรียบเทียบกับเพคตินทางการค้า
โดยใช้ข้อกำหนดมาตรฐานของเพคตินตามที่ The Joint / WHO Expert Committee on Food Additive (JECFA) ได้กำหนดไว้เพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของ industrial-grade pectin,
Lab & pharmaceutical-gradepectinและstandard pectin ตามตารางที่ 5
ตาราง แสดงการเปรียบเทียบคุณสมบัติของ Industrial-grade pectin, Lab & pharmaceutical-
gradepectinและ Standard pectin
Characteristics
|
Industrial
grade pectin
|
Lab
& pharmaceutical grade pectin
|
Standard
pectin
|
1. % yield
|
22.55
|
-
|
-
|
2. % moisture
|
4.26
|
4.81
|
-
|
3. % ash
|
3.59
|
2.23
|
2.0
|
4. % galacturonic acid (mg)
|
69.89
|
78.54
|
>65
|
5. % methoxyl
|
5.08
|
6.29
|
>2.5
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น